เมนู

17. โหติจนจโหติตถาคตสูตร



ว่าด้วยความเห็นว่า สัตว์ตายแล้วเกิดบ้างไม่เกิดบ้าง



[442] กรุงสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เมื่ออะไรมีอยู่ เพราะถือมั่นอะไร เพราะยึดมั่นอะไร
จึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว เกิดอีกก็มี
ไม่เกิดอีกก็มี. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลายมีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นรากฐาน ฯลฯ
เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า.
จบ โหติจนจโหติตถาคตสูตร

18. เนวโหตินนโหติตถาคตสูตร



ว่าด้วยความเห็นว่า สัตว์ตายแล้วเกิดและไม่เกิดก็หามิได้



[443] กรุงสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่ออะไรมีอยู่ เพราะถือมั่นอะไร เพราะยึดมั่นอะไร
จึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็ไม่ใช่
ไม่เกิดอีกก็ไม่เชิง. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลายมีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นรากฐาน ฯลฯ
เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า.
ภ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อรูปมีอยู่ เพราะถือมั่นรูป เพราะ
ยึดมั่นรูป จึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีก
ก็ไม่ใช่ ไม่เกิดอีกก็ไม่เชิง ฯลฯ.
[444] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง ?

ภิ. ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
เพราะไม่ถือมั่นสิ่งนั้น จะพึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่า สัตว์เบื้องหน้า
แต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ ใช่ไหม ?
ภิ. ไม่พึงเกิดขึ้นอย่างนั้นเลย พระเจ้าข้า.
ภ. สิ่งใดที่ได้เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ได้ทราบแล้ว รู้แจ้งแล้ว
บรรลุแล้ว แสวงหาแล้ว ค้นคว้าแล้วด้วยใจ แม้สิ่งนั้นเที่ยงหรือไม่เที่ยงเล่า ?
ภิ. ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
เพราะไม่ถือมั่นสิ่งนั้น จะพึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่า สัตว์เบื้องหน้า
แต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็ไม่ใช่ ย่อมไม่เกิดอีกก็ไม่เชิง ใช่ไหม ?
ภิ. ไม่พึงเกิดขึ้นอย่างนั้นเลย พระเจ้าข้า.
ภ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล อริยสาวกละความสงสัยใน
ฐานะ 6 เหล่านี้ ชื่อว่าเป็นอันละความสงสัยแม้ในทุกข์ แม้ในทุกขสมุทัย
แม้ในทุกขนิโรธ แม้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อนั้น อริยสาวกนี้
เราเรียกว่า เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา
เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า.
จบ เนวโหตินนโหติตถาคตสูตร
จบ โสตาปัตติวรรค
จบ ไวยากรณ 18

11-18. อรรถกถาอันตวาสูตรเป็นต้น

ถึงสูตรที่ 18



บทว่า อนฺตวา โลโก ความว่า ทิฏฐิที่เกิดขึ้นด้วยการยึดถือนั้น
หรือด้วยการตรึกว่า โลกคือนิมิตที่ขยายไปได้ด้านเดียว (มีที่สุด).
บทว่า อนนฺตวา ความว่า ทิฏฐิที่เกิดขึ้นด้วยการยึดถือนั้น
หรือด้วยการตรึกว่า โลกคือนิมิตที่กำหนดขนาดไม่ได้ ขยายไปทุกด้าน
(ไม่มีที่สิ้นสุด).
บทว่า ตํ ชีวํ ตํ สรีรํ ได้แก่ ทิฏฐิที่เกิดขึ้นว่า ชีพกับสรีระเป็น
อย่างเดียวกัน.
บทที่เหลือในทุกแห่ง มีความหมายง่ายทั้งนั้นแล.
อีกอย่างหนึ่ง ไวยากรณะ เหล่านี้ มี 18 อย่าง ด้วยอำนาจ
โสตาปัตติมรรคก่อน นี้เป็นการถึงครั้งที่ 1.
จบ อรรถกถาโสตาปัตติวรรคที่ 1

ไวยากรณะ 18 จบบริบูรณ์

รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ



1. วาตสูตร 2. เอตังมมสูตร 3. โสอัตตสูตร 4. โนจเมสิยาสูตร
5. นัตถิทินนสูตร 6. กโรโตสูตร 7. เทตุสูตร 8. มหาทิฏฐิสูตร
9. สัสสตทิฏฐิสูตร 10. อสัสสตทิฏฐิสูตร 11. อันตวาสูตร 12. อนันตวา-
สูตร 12. ตังชีวังตังสรีรังสูตร 14. อัญญังชีวังอัญญังสรีรังสูตร
15. โหติตถาคตสูตร 16. นโหติตถาคตสูตร 17. โหติจนจโหติ-
ตถาคตสูตร 18. เนวโหตินนโหติตถาคตสูตร.